นักท่องเที่ยวกลับมาจากเกาหลีไปเที่ยวที่อื่นต่อไม่ยอมกักตัวเองอยู่บ้าน

Refused-to-detain

                  ไม่ยอมกักตัวเองอยู่บ้าน ปัจจุบันนี้ถึงแม้หลายคนพยายามจะรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปต่างประเทศเมื่อกลับมาถึงประเทศไทยแล้วควรจะกักตัวเองอยู่ที่บ้านก่อน ไม่ควรเดินทางไปเที่ยวต่อที่ไหน เพราะอยากให้มั่นใจว่าคนที่กลับมาจากต่างประเทศจะปลอดภัยไร้เชื้อโรคก่อนที่จะออกเดินทางไปเที่ยวที่อื่นต่อ เพราะการกักตัวเองอยู่ที่บ้านจะเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้ดีที่สุด  แต่เรากลับพบเห็นว่าหลายคนที่ไม่ยอมทำตามกฎการกักตัวเองนี้

และออกมาใช้ชีวิตประจำวันปกติ โดยมักจะเดินทางไปตามแหล่งชุมชน ตรงที่มีคนเยอะเยอะ โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอาจจะไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่นได้ อย่างเช่นมีหญิงสาวคนหนึ่งที่เมื่อเธอกลับมาจากประเทศเกาหลีใต้ เธอไม่ได้ตรงกลับบ้านทันทีแต่เธอกลับตระเวนเดินทางไปท่องเที่ยวตามต่างจังหวัดไปทั่ว และเหมือนเธอจะอยากให้คนทั้งโลกรู้เพราะไม่ว่าเธอจะเดินทางไปที่ไหน เธอก็จะมีการโพสต์ข้อความโชวร์ลงบนเฟสบุ๊กและถึงแม้เพื่อนเพื่อนหรือคนที่รู้จักกับเธอจะออกมาเตือนเธอเรื่องที่เธอจะต้องกักตัวเอง  14 วันอยู่ที่บ้านแต่เธอกลับไปสนใจ ใดใดทั้งสิ้น

ทำให้หลายคนเริ่มไม่พอใจกับพฤติกรรมของเธอ จนเมื่อเธอเดินทางไปเที่ยวจนพอใจและเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด  ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ได้เดินทางไปพบเธอพร้อมกับคณะแพทย์ เพื่อขอตรวจร่างกายเธอและถึงแม้เธอจะไม่ได้มีอาการป่วยไข้แต่อย่างใด แต่ทางผู้ว่าราชการจังหวัดก็ได้ขอร้องเธอให้กักตัวเองไว้ที่บ้านก่อนอย่าเพิ่งเดินทางไปไหน

ซึ่งเธอก็ได้รับปากเรื่องจะทำการกักตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดสุรินทร์ 

             สำหรับคนที่ไปอยู่ต่างประเทศเสียนาย เราทุกคนเข้าใจว่าเขาคงคิดถึงเมืองไทย อยากตระเวนไหว้พระ ทำบุญหรืออยากกินอาหารไทยที่อยากกิน หากเป็นในช่วงที่ไม่ได้มีการระบาดของเชื้อโรค เราคงไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้มีการระบาดดังนั้น คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะติดโรคไวรัส ควรนึกถึงคนอื่นด้วยเช่นกัน การอยู่ที่บ้านอย่างเดียวแค่ 14 วันไม่ได้ทำให้คุณเสียชีวิต แต่การที่คุณออกไปแพร่เชื้อโรคให้กับคนอื่น คุณอาจจะทำให้เขาเสียชีวิตได้ดังนั้น คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อจึงไม่ควรที่จะเห็นแก่ตัวเอง โดยไม่นึกถึงคนอื่นในสังคมเลย 

           หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเชื้อไวรัสโควิด-19  สามารถอยู่ในร่างกายของคนป่วยได้นานถึง 37 วันและหากใครที่มีสุขภาพแข็งแรงอาการที่จะบ่งบอกว่าคุณติดเชื้อไวรัสอาจจะแสดงอาการช้าก็ได้ และถึงแม้ว่ามันจะไม่แสดงอาการแต่คุณก็สามารถแพร่เชื้อได้ ดังนั้น เพียงแค่ 14 วันที่คุณกักตัวเอง ทำซะเถอะค่ะเพื่อคนอื่นในสังคม 

 

สนับสนุนโดย  holiday palace

ลูกสาวของผู้อำนวยการสุวรรณภูมิได้โพสต์ข้อความด่า

Post-a-message

ลูกสาวของผู้อำนวยการสุวรรณภูมิได้โพสต์ข้อความด่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา 

โพสต์ข้อความด่า ได้มีข่าวออกมาว่าผู้อำนวยการของสุวรรณภูมิได้ทำการยื่นเอกสารเพื่อที่จะลาออกจากที่ทำงานหลายคนเข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะรับผิดชอบและไม่ต้องการให้ทำงานเกี่ยวข้องกับเรื่องของผีน้อยยังมีข่าวลือมาอีกว่ามีกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของสายการบินสุวรรณภูมิแห่งนี้ได้ยื่นเอกสารขอลาออกกับทางสนามบินสุวรรณภูมิเช่นกันและลูกสาวของผู้อำนวยการที่สุวรรณภูมิได้ออกมาโพสต์จากพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาซึ่งหลังจากที่เธอได้โพสต์ข้อความด่าก็มีคนแชร์ข้อความด่าของเธอไปทั่วประเทศจนตอนนี้เป็นข่าวที่โด่งดังมาก เธอได้กล่าวไว้ว่าพ่อของเธอนี่เป็นผู้อำนวยการสุวรรณภูมิที่ลาออกนั้นก็เพราะว่าทางรัฐบาลไม่ได้ยื่นมือมาช่วยเหลือกับการตรวจผีน้อยเลยแม้แต่นิดเดียว

และต้องขอบอกเลยว่าพ่อของเธอนั้นคือคนที่เสี่ยงติดเชื้อไวรัส Covid 19 ไม่ใช่รัฐบาลดังนั้นอย่างน้อยรัฐบาลควรจะให้ความร่วมมืออากาศข่าวดังแถลงข่าวทำเท่คำว่าจะจัดการเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้ช่วยกู้สถานการณ์ไวรัส Covid 19 เลยแม้แต่นิดเดียวเธอยังบอกว่าให้เธอกล่าวว่าพ่อของเธอเสี่ยงต่อการติดไวรัส Covid 19 งั้นก็เพราะว่าทางรัฐบาลได้เอาหน้ากากอนามัยไปไว้กับตัวเองจนหมดทำให้พ่อของเธอไม่มีหน้ากากอนามัยไว้ใช้ทำให้มีโอกาสเสี่ยงติดไวรัส Covid 19 มากกว่าที่รัฐบาลจะมีโอกาสเสี่ยงติดซะอีก

ฉันเธอยังบอกอีกว่าทางรัฐบาลที่ทางโรงงานตั้งใจจะขายให้กับประชาชนเอาไปไว้เป็นของตัวเองและทำแสร้งกันดีว่า ตัวเองตั้งใจจะขายและรับความดีความชอบเป็นของตัวเองทั้งหมดซึ่งทางรัฐบาลตั้งใจที่จะเก็บหน้ากากไว้เยอะๆและก็เอาไปขายทีเดียวเลยจะได้ดูเป็นว่าเป็นคนดีและช่วยกู้สถานการณ์ไวรัส Covid 19 ได้อย่างมีเหตุผลแต่จากการที่ทางรัฐบาลเก็บหน้ากากอนามัยไว้กับตัวเองนั่นทำให้ขณะที่รัฐบาลกำลังอ้างว่าเก็บหน้ากากไว้เพื่อที่จะกู้สถานการณ์และจะเอาหน้ากากมาให้ทุกคนทันทีเมื่อมีมากพอสำหรับคนทั้งประเทศแต่ในขณะเดียวกันคนทั้งประเทศ

ก็เริ่มที่จะติดโรคไวรัส Covid 19 กันทุกที ซึ่งเธอยังบอกอีกว่าเธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยซึ่งจริงๆแล้วเธอไม่สนใจเรื่องประเทศชาติหรือเรื่องเกี่ยวกับการเมืองเลยสักนิดเดียวแม้ 1 เปอร์เซ็นต์เธอก็ยังไม่สนใจแต่เมื่อรู้ว่าพ่อของเธอมีปัญหาเกี่ยวกับการที่ทางรัฐบาลไม่ช่วยเหลือการทำงานของพ่อของเธอเลยทำให้เธอรู้สึกว่าครั้งนี้เธอไม่สามารถที่จะทนได้และเธอจำเป็นที่จะต้องระบายมันออกมาจริงๆและอยากให้ทุกคนได้รู้ว่ารัฐบาลทำยังไงต่อหน้าประชาชนและทำยังไงลับหลังประชาชน

 

ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนโดย  บาคาร่าออนไลน์

ข่าวสาวฉีดฟิลเลอร์แล้วหวิดตาบอด

  ฉีดฟิลเลอร์  มีหญิงสาวคนหนึ่งใช้ชื่อว่าคุณตูนได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว เล่าเรื่องที่ไปฉีดฟิลเลอร์ที่หน้าแล้วมีการอักเสบต้องผ่าออกหวิดทำให้ตาบอดเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้เพื่อนๆในกลุ่มเฟสของตน เป็นการเตือนก่อนที่จะไปทำหน้าที่ไหนให้ศึกษาข้อมูลของคลีนิกที่จะไปใช้บริการให้ดี โดยคุณตูนได้เล่าว่า

           คุณตูนตัดสินใจไปฉีดฟิลเลอร์ที่หน้าหลายจุด จึงไปฉีดที่คลินิกแถวโชคชัย 4 ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยไปมาแล้ว และครั้งนี้เป็นการไปฉีดเป็นครั้งที่ 2 โดยหลังจากฉีดเรียบร้อยแล้วคุณตูนสังเกตเห็นว่าใต้ตายังบวมและแดงอยู่มาก จึงได้โทรไปคลีนิกที่ไปทำหน้ามาแต่ทางคลีนิกบอกให้รอ จนคุณตูนรอไม่ไหวจึงไปคลินิกอื่นเพื่อดูออก โดยไปมาทั้งหมด 2แห่งหมดเงินไปประมาณสองหมื่นบาท แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นจึงโทรกลับไปที่คลินิกเดิม ทางเจ้าหน้าที่คลินิกจึงรับผิดชอบด้วยการผ่าตัดออกให้ โดยเสียค่าใช้จ่ายประมาณ หกหมื่นบาท และทางคลินิกยืนยันจะออกให้ทั้งหมด ซึ่งเมื่อผ่าออกมาแล้วคุณหมอที่ทำการผ่าได้บอกสาเหตุที่มีอาการบวมแดงว่าเกิดจากฟีลเลอร์คุณภาพต่ำ คนที่ฉีดก็ไม่มีความรู้ความสามารถมากพอ จุดที่ฉีดก็เป็นจุดเสี่ยงถ้าฉีดพลาดนิดเดียวตาอาจบอดได้เลย ทำให้คุณตุนต้องออกมาเตือนให้เพื่อนๆให้ระวังหากจะไปฉีดหน้า

          สำหรับข่าวเรื่องการทำความสวยความงามและออกมาหน้าพัง หลังๆนี้มีบ่อยไม่ว่าร้านที่ไปทำจะดูดีแค่ไหน แต่พอตรวจค้นภายในร้านแล้วก็จะเห็นว่าทางร้านมักจะมีการนำของดีมีคุณภาพมาปนกับของคุณภาพต่ำให้ลูกค้าใช้ เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่าย เพื่อให้ทางคลินิกมีกำไรเยอะๆ แต่มันเป็นการเสี่ยงต่อการเสียโฉมของลูกค้ามาก ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเรื่องคลีนิกเสริมความงามของภรรยานักร้องดัง ทำให้หน้าของลูกค้าเสียโฉมเพราะใช้ของคุณภาพต่ำเช่นเดียวกันขนาดดูดีแล้วว่าเป็นร้านของไฮโซดัง ก็ยังใช้ของที่ไม่ได้มาตรฐานเพียงเพราะต้องการให้มีกำไรสูง โดยไม่สนใจว่าผู้ใช้บริการจะเสียหายอย่างไร

         สำหรับใครที่ชื่นชอบการเข้าร้านเสริมความงามหรือกำลังคิดจะไปทำหน้าฉีดโน่นนี่นั่น ก็ควรหาข้อมูลของคลีนิกที่จะไปให้ระเอียด ลองดูว่ามีคนมารีวิวไว้อย่างไรดีหรือไม่ เพื่อประกอบการตัดสินใจ อย่าเพิ่งหลงเชื่อคำโฆษณาของทางร้านหรือโปโมชั้นที่ทางร้านบอกว่าจะลดราคาให้ เพราะใบหน้าถ้าเสียหายแล้วแก้ไขกลับมาให้ดียาก

Filler-injection

          

ข่าว รปภ. ฆ่าหญิงบริการ

security-guard

จากกรณีที่มีข่าวหญิงขายบริการชื่อ นางสาว สง่า  อายุ 49 ปี ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม

ข่าวรปภ ด้วยการถูกมีดแทงคอนั้น ปัจจุบันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวคนร้ายได้แล้ว ชื่อนายฮอม อายุ 59 ปี ทำงานเป็น รปภ. แห่งหนึ่ง ซึ่งนายฮอมให้การยอมรับสารภาพว่าได้ตกหลุมรักนางสง่าที่เป็นหญิงขายบริการ และอยากจะให้เลิกขายบริการแล้วมาอยู่กินด้วยกัน ซึ่ง ก่อนหน้านี้นางสง่ารับปากนายฮอมแล้ว

โดยขอให้นายฮอมซื้อสร้อยทางหนัก 2 สลึงให้แต่เมื่อนางสง่าได้สร้อยไปแล้ว ก็มาอยู่กับนายฮอมแค่คืนเดียวหลังจากนั้นก็หนีหายไป นายฮอมจึงได้ไปตามกลับมาให้อยู่ด้วยกันแต่นางสง่าก็ไม่ยอมกลับมา และในวันเกิดเหตุนางสง่ามาขอเงินนายฮอมอีก 3000 บาทเมื่อได้เงินไปแล้ว นางสง่าก็พยายามหลบหน้า นายฮอมซึ่งกำลังเมาเหล้าได้ไปตามหานางสง่า แต่นางสง่าไม่ยอมกลับมาอยู่ด้วย และมีการต่อว่าโดยพูดไปว่า นายฮอมไม่ใช่สามีตนจะมาอะไรหนักหนากับเรื่องที่นางสง่าขายตัว

และที่สำคัญนางสง่าบอกกับนายฮอมว่า ตนเองมีสามีอยู่แล้ว ทำให้นายฮอมโกรธขาดสติจึงใช้มีดแทงคอนางสง่าจนเสียชีวิต  จากการสอบถามเพื่อนของนางสง่าได้ให้การตรงกับนายฮอมและยังบอกด้วยว่าที่จริงแล้วนางสง่ายังไม่ได้มีสามี เพียงแต่อยากตัดขาดกับนายฮอมที่ชอบมาตามตื้อจึงได้พูดว่ามีสามีแล้ว ซึ่งนางสง่าทำงานหาเงินไปส่งเสียเลี้ยงดูหลานที่ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด

         จากข่าวที่เกิดขึ้นจะโทษ รปภ. ฝ่ายเดียวคงไม่ได้ เพราะนางสง่าเองก็หลอกให้ความหวังนายฮอม ซึ่งพอได้เงินจากนายฮอมไปแล้วก็คิดตีตัวออกห่าง เป็นการกระทำที่เหมือนมาหลอกลวงเพื่อหวังเอาเงินของนายฮอมเท่านั้น โดยนางสง่ารู้ดีอยู่แล้วว่านายฮอมนั้นรักตัวเอง ถ้าขออะไรไปนายฮอมย่อมหามาให้ แต่ถ้านางสง่าไม่ได้รักนายฮอมก็ไม่ควรหลอกให้ความหวัง หากอยากได้เงินก็เพียงทำการซื้อขายบริการกันอย่างเดียวก็พอ  ส่วนนายฮอมก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่านางสง่า ไม่ได้ชอบตนเองแต่ก็ยังจะมาพยายามตามตื้อ ซึ่งเป็นการสร้างความรำคาญให้นางสง่า ทำให้นางสง่าต้องตัดสินใจใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป

       จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ คนหนึ่งต้องมาจบชีวิตลงไปและหลานที่อยู่ต่างจังหวัดใครจะผู้รับผิดชอบเลี้ยงดูต่อไป ส่วนอีกคนด้วยความใจร้อนและด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ต้องมามีจุดจบอยู่ในคุกในบั้นปลายของชีวิต ดังนั้นเรื่องนี้อาจสอนเราได้ว่าควรใช้ชีวิตอย่างมีสติและอย่าพยายามเอาเปรียบใคร

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนเหล่านี้โดย  วิธีเล่นบาคาร่าให้ได้เงิน